ในโลกฟุตบอลตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา โรนัลโด้ ถูกยกให้เป็นดาวเตะเบอร์ 1 ของโลกเคียงข้างมากับ ลีโอเนล เมสซี่ ซึ่งความเก่งกาจของดาวเตะชาวโปรตุกีสคงไม่ต้องบรรยายอะไรมากกับการคว้าแชมป์กับทีมและรางวัลส่วนตัวมากแบบนับไม่ถ้วน อย่างไรก็ตามงานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา การเล่นฟุตบอลเองก็เช่นกัน เมื่ออายุมากขึ้นสังขารเป็นสิ่งที่จะทำให้ฟอร์มการเล่นแบบเดิมค่อย ๆ หายไป จนในที่สุดก็ต้องอำลาฟลอร์หญ้า และเวลานี้เขาก็อาจใกล้ถึงเวลาเต็มที
หากย้อนไปในซีซั่น 2021/22 ที่ โรนัลโด้ ตัดสินใจย้ายกลับมายังถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด อีกครั้ง แบบฟรี ๆ จากยูเวนตุส เสมือนได้กลับมายังบ้านเก่าที่เคยปลุกปั้นตนเองให้ก้าวสู่การเป็นนักเตะดีที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ฟุตบอล แถมฟอร์มการเล่นก็ยังคงน่าเกรงขามโดยยิงรวมกันทั้งสิ้น 24 ลูก ในทุกรายการ พร้อมทั้งทำแอสซิสต์ไปอีก 3 ครั้ง น่าเสียดายที่ทีมไม่ได้ไปเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก
แม้ปีนี้สถิติการยิงประตูยังดูสง่าผ่าเผย แต่สิ่งที่เริ่มสังเกตได้คือ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับลูกหนักตามสไตล์บอลอังกฤษ แม้เจ้าตัวจะคุ้นเคยดี แต่ด้วยสภาพร่างกายทำให้การใช้สปีด การวิ่งแย่งหรือตัดเอาชนะคู่แข่งแทบไม่ค่อยเห็นสักเท่าใดนัก
ยิ่งมาในปีนี้นับตั้งแต่ เอริก เทน ฮาก เข้ามาคุมทัพ ยิ่งชัดเจนมากขึ้นว่าการจับพ่อค้าแข้งเจ้าของรางวัลบัลลงดอร์ 5 สมัย นั่งสำรอง ไม่ใช่เรื่องของวินัย ไม่ใช่เรื่องที่พัวพันมีข่าวย้ายทีมจนไม่ยอมเข้ามาซ้อมกับทีม เพราะเปิดซีซั่นมาได้หลายนัดเขาเองก็คงกลับมาฟิตเปรี๊ยะพร้อมทำศึกตามเดิม
แต่สิ่งที่ เทน ฮาก คงเห็นแน่ ๆ ในระหว่างฝึกซ้อมคือ นี่ไม่ใช่ โรนัลโด้ คนเดิมเหมือนเมื่อครั้งอายุ 20 ปลาย ๆ หรืออายุ 30 ต้น ๆ แต่บนวัยใกล้ 40 แบบนี้ เรื่องสปีดความเร็ว การไปกับบอล และความแข็งแกร่งย่อมลดลงเป็นปกติ
อีกจุดที่ชัดเจนมากคือ หลังจากลงมาเป็นตัวสำรองในแทบทุกนัด สิ่งที่เขาทำอย่างการกระชากบอล การวิ่งไล่กับกองหลังคู่แข่งเริ่มช้าและทำได้ไม่เนียนตาเหมือนเคย แต่ทั้งหมดก็ถูกทดแทนโดยลูกประสบการณ์และการเอาตัวรอดในสถานการณ์ที่กำลังโดนบีบบังคับ
แม้วันนี้เขาอาจไม่ใช่คนเดิมแต่เชื่อเถอะว่านักเตะแบบนี้คงไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ และยังไม่รู้ว่าอีกกี่ปีข้างหน้าจะมี Wonder Kids แห่งวงการลูกหนังมาให้ได้รู้สึกตื่นเต้น จดจำภาพของนักเตะจอมสับเอาไว้ในใจได้เลย เพราะเขาจะยังคงเป็นบุคคลในตำนานต่อไปไม่เสื่อมคลาย